จุดเริ่มต้นของผ้าไหมทังโกะ
ซึ่งตั้งอยู่ตอนเหนือของจังหงัดเกียวโต ท่านจะได้ยินเสียง "gacha gacha" คือเสียงกุกกักของเครื่องทอผ้าจากที่ไหนสักแห่ง ทังโกะ มีสภาพภูมิอากาศเปียกชื้นโดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูหนาวซึ่งมีจำนวนวันที่ฝนและหิมะตกบ่อยครั้ง จึงมีคำกล่าวว่า (ลืมร่มเหมือนกับลืมเบนโตะอาหารกลางวัน) ดังนั้นจึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการผลิตผ้าไหม เนื่องจากในการแบ่งเส้นไหมไม่ชอบอากาศแห้ง ด้วยเหตุนี้ ในสมัยนาราจักรพรรดิโชมุ Emperor Shomu จึงได้ส่งมอบผ้าไหม (อะชิกินุ Ashiginu) เป็นเครื่องบรรณาการ ยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ได้มีบันทึกการส่งจดหมายโต้ตอบ (เทคินอนไร Teikinourai) และบันทึกเกี่ยวกับหมู่บ้านทอผ้าไหมในเขตทังโกะ (ทังโกะเซโก Tango seigō)
กำเนิด (ผ้าไหมทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk)
พื้นที่ในเขตทังโกะ ผู้คนดำเนินชีวิตด้วยการทำเกษตรกรรมและสิ่งทอ แต่ในยุคเอโดะ เกียวโตนิชิจิน Kyoto Nishijin มีการพัฒนาผ้าไหม (เมะชิจิริเมน Meshichirimen) ทำให้ผ้าไหม (ทังโกะเซโค Tangoseiko) ไม่สามารถจำหน่ายได้ ผู้คนต้องเผชิญกับวิกฤตผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวไม่ได้อย่างต่อเนื่อง "จิริเมน Chirimen คือผ้าไหมที่มีความมันวาวสวยงามและเรียบนูนไม่เสมอกัน เรียกว่า (ชิโบะ Shibo) ซึ่งในตอนนั้นเป็นเทคนิคพิเศษที่ไม่เปิดเผยกับคนภายนอก" ในขณะนั้นที่ภูเขามิเนะ Mineyama (เขตเคียวทังโกะเมืองมิเนะยามะ) คินุยาซะเฮจิ Kinuyasaheiji ได้อธิษฐานกับพระโพธิสัตว์โชกันเซอนโบซะสึ shokanzeonbosatsu ที่วัดเซนโจจิ Zenjoji ด้วยการถือศีลอดอาหาร เพื่อช่วยเหลือผู้คน, และได้ศึกษาค้นคว้าที่เกียวโตนิชิจิน Kyoto Nishijin จนในปีเคียวโฮ Kyoho 5 (ปี 1720) ได้ทำความเข้าใจและศึกษาการทำจิริเมนด้วยตนเองจนสำเร็จ
โมเมนยะโระคุเอมง Momenyarokuemon แห่งคายะ Kaya (เมืองโยซาโนะ Yosano Town เขตอุชิโระโนะ Ushirono) ได้แนะนำให้เทะโกะเมะยะโคเอมง Tegomeyakoemon เมืองนิชิจิน Nishijin ย่านคายะ Kaya ใช้เทคนิคของจิริเมน กับยามะโมะโตะยาซะเฮเอะ Yamamotoyasahee แห่งมิโกะจิ Migochi (เมืองโยซาโนะ Yosano Town เขตมิโกะจิ Migochi) ได้ส่งออก จนกระทั่งปีเคียวโฮ Kyoho 7 (ปี 1722) ได้นำเทคนิคนี้กลับไปใช้งาน ด้วยเหตุนี้ ทั้ง 4 คนที่ได้ศึกษาเทคนิคของจิริเมน จึงนำเอาเทคนิคนี้ไปเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้คนในพื้นที่นั้น จึงทำให้จิริเมนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของคนในเขตพื้นที่ทังโกะในชั่วพริบตา และเนื่องจากความพยายามของชาวบ้านโดยใช้ประโยชน์จากเทคนิคการทอแบบใหม่จึงทำให้สามารถเอาชนะความยากลำบากนั้นได้
(ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen) เป็นการพัฒนาท้องถิ่นและวัฒนธรรม
(ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) ได้เป็นตัวแทนของจิริเมนในฐานะที่มี (ชิโบะ) การพัฒนาสีสันและเนื้อผ้าที่เนียนนุ่ม ใช้ทำกิโมโนที่มีความงดงามเช่น ยูเซน (Yuzen dye) เป็นต้นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากวัฒนธรรมการสวมเสื้อญี่ปุ่นของประเทศญี่ปุ่น มีผู้ทำการพัฒนารูปแบบต่างของเนื้อผ้าและสีสันเช่น (มงจิริเมน Monchirimen), การกำจัดสิ่งสกปรกจากการผลิต (โดยลดขั้นตอนการต้มในน้ำร้อน, การเคลือบเส้นไหมด้วยโปรตีนไหม (เซริซีน Sericin)) พยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพเช่นการจัดตั้งระบบการตรวจสอบกันอย่างต่อเนื่องเป็นต้น ในสมัยโชวะ 30-40 เป็นยุคทองของการทอผ้าซึ่งผู้ที่ทำผลกำไรได้เป็นจำนวนมากซึ่งเรียกคนเหล่านั้นว่า (กะจะมัง Gachaman) ทังโกะพัฒนาเป็นพื้นที่การผลิตที่สำคัญของผ้าไหมและยังมีส่วนอย่างมากในการพัฒนาพื้นที่ทางตอนเหนือของจังหวัดทั้งหมดรวมถึงการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงไหมและอุตสาหกรรมทำผ้าไหมในบริเวณโดยรอบ
(ทันโกะจิริเมน Tango Chirimen) เป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นถึงอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง ร้านค้าผู้คนที่คึกคัก แสดงให้เห็นถึงความเจริญทางศิลปะแบบดั้งเดิมที่ยังคงมีชีวิตชีวาอยู่เป็นเวลายาวนาน
มิเนะยามะ Mineyama, โอมิยะ Omiya, อามิโนะ Amino, ยากาเอะ Yakae (เมืองเคียวทังโกะ Kyotango-shi) เป็นสถานที่ผลิตหลักของ (ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) ซึ่งการสร้างอาคารโรงงานผลิตสิ่งทอหลังคารูปสามเหลี่ยมเหมือนฟันเลื่อยซึ่งยังหาชมได้ในปัจจุบัน ซึ่งใช้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและโรงงานอยู่ด้วยกัน ที่นี้มีทั้งบ้านที่อยู่อาศัยสลับกับโรงทอผ้าตามแบบฉบับของพื้นที่
ในยุคเอโดะ มีหินแกะสลักแมวโคมะอยู่ประมาณ 13,000 ก้อน (ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen) ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่ทำรายได้จำนวนมาก ศาลเจ้าโคโตฮิระ Kotohira jinya สร้างโดยขุนนางเคียวโกคุเคะ Kyogokuke มีอาณาบริเวณที่กว้างขวางและเต็มไปด้วยกลุ่มของศาลเจ้ามากมายแสดงให้เห็นถึงอดีตที่เคยเจริญรุ่งเรืองของจิริเมน ยังคงมีภาพวาดเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของยุคเมจิบนแผ่นป้ายขอพรที่เรียกว่าเอมะ Ema รวมถึงขบวนรถแห่แบบโบราณที่งดงามซึ่งใช้ในงานเทศกาลต่างๆ เป็นต้น ภายในบริเวณศาลเจ้าโคโนะชิมะ Koyoshima ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าแห่งการเพาะเลี้ยงไหม จะมีสมาคมผู้ค้าไหมและผู้เลี้ยงไหมจัดหาไหมดิบที่นำมาเป็นวัตถุดิบของจิริเมน, มีการบริจาคเพื่ออุทิศให้กับแมวโคมะที่ช่วยกำจัดหนูซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของไหม, การขอพรเพื่อขอบคุณที่ทำให้ผลผลิตไหมมีความสวยงาม ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ต้องการสืบทอดให้กับผู้คนรุ่นสู่รุ่น
ในยุคเอโดะเมืองมิยาซึ (Miyazu-shi) เป็นเมืองปราสาทของตระกูลมิยาซึ เป็นสถานที่ผลิต (ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) จนถึงสิ้นยุคบาคุมาสึ Bakumatsu จิริเมนเป็นฐานการส่งสินค้าไปจำหน่ายต่อยังเกียวโต เป็นเมืองแห่งการค้าและท่าเรือเต็มไปด้วยพ่อค้าและลูกเรือจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาอย่างคึกคักราวกับถนนที่เรียงรายไปด้วยดอกไม้ (ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) ได้เป็นที่รู้จักกันดีในขณะนั้น โดย พ่อค้าสิ่งทอทั่วประเทศที่มาเยือนจิริเมน และผู้คนโดยอาศัยโดยรอบเป็นต้น ใกล้ๆกันนั้นมีสะพานอามาโนะฮาชิดาเตะ Amanohashidate และวัดจิออนจิ Chionji ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ และเพลงพื้นบ้าน (มิยาซึบุชิ Miyatsubushi) ที่ยังคงร้องกันเรื่อยมา อีกทั้งผนังสีขาวที่งดงามหรูหรา ร้านค้าที่มีห้องสื่อทาทามิและสวนนั่งพักผ่อนของผู้ค้าส่งไหมเป็นต้น Senbon-goushi หรือประตูบานเลื่อนที่ใช้ไม้ซี่ทำเพื่อบังตาแบบญี่ปุ่นที่เพื่อใช้ชมสวนดอกไม้ซึ่งยังคงมีเหลืออยู่ในบางบ้าน แสดงให้เห็นถึงร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลานั้น
คายะ Kaya, โนดะกาว่า Nodagawa, วาตะคิ Wataki, (หมู่บ้านโยซาโนะ Yosano Town) ในสมัยก่อนยุคโชวะจะเห็นโรงทอผ้าและร้านค้าเครื่องจักรอยู่ตลอดแนวถนน (ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) ถือเป็นฐานการผลิตหลัก ยุคโมจิถึงโชวะ คายะ Kaya, โนดะกาว่า Nodagawa รวมเป็นเกียวโต (ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) เป็นฐานการในการขนส่งสินค้าที่มีความเจริญรุ่งเรือง เส้นโค้งของถนนที่อ่อนโอนราวกับภาพวาด ซึ่งในยุคเมจิจะได้ยินเสียงของโรงทอผ้า (โรงงานนิชิยามะ) ที่จิริเมนจะทำให้ท่านหวนรำลึกเรื่องราวในอดีตของแต่ละยุคสมัย เมจิ, ไทโช, เมจิ ผ่านทางสิ่งก่อสร้าง บ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้ กำแพงดินที่เรียงรายกันอยู่เป็นต้น (ทางหลวงจิริเมน) เปรียบราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์ทางสถาปัตยกรรมที่ไม่มีหลังคาที่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ผลิตและขนส่งออกสินค้าโดยนำเงินทุนที่ได้รับมาสร้างถนน, โรงไฟฟ้า, ทางรถไฟเป็นต้น (ทางรถไฟคายะ) ได้เปิดให้บริการในปีไทโช Taisho ที่ 15 (ปี 1926) โดยเงินทุนในการก่อสร้างมาจากผู้คนในพื้นที่ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของจิริเมนในขณะนั้นคือ ขบวนรถแห่แบบโบราณที่งดงามใช้ใน (เทศกาลมิโกะจิฮิคิยามะ Migochihi-kiyama Event) จำนวน 12 คัน อุชิโระโนะ Ushirono, ซันโจ Sanjo, คายะ kaya เป็นต้น ซึ่งใช้ในการเทศกาลที่เป็นมรกสืบทอดต่อกันมาของ (ทังโกะจิริเมน Tango chirimen )
เทคโนโลยีและวัฒนธรรมของ (ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) ที่สืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ซึ่งในปัจจุบันยังคงเป็นแหล่งผลิตผ้ากิโมโน (ผ้าโอโมเทะ ใช้สำหรับเสื้อผ้าญี่ปุ่น) รายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นประมาณ 60% และเป็นต้นกำเนิดผ้าไหมดิบที่ผลิตเพื่อใช้ในประเทศมากกว่า 30% (ทังโกะจิริเมน) ใช้เทคนิคการทอผ้าที่ยอดเยี่ยมจนถึงยุคปัจจุบัน ไม่ได้มีเฉพาะเสื้อผ้าญี่ปุ่นเท่านั้นแต่ยังมีเสื้อผ้าสไตล์ตะวันตก นอกจากนี้ยังใช้ทำของใช้กระจุกกระจิกเช่นผ้าพันคอและสินค้าตกแต่งภายในบ้านเป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีพัฒนากระบวนการไฮเปอร์ซิงค์ hyper silk processing technology ซึ่งทำให้ไหมทนต่อแรงเสียดทานและการหดตัวแม้ว่าจะเปียกน้ำ, การพัฒนาโพลีเอสเตอร์จิริเมน Polyester crepe เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาในหลากหลายสาขา(ทังโกะจิริเมน Tango Chirimen Silk) มีประวัติและวัฒนธรรมการทอผ้าสืบทอดยาวนานกว่า 300 ปี ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องของผู้คนที่มุ่งมั่นสู่อนาคตข้างหน้าไปพร้อมกับเสียงการทอผ้าที่ยังสะท้อนดังอยู่อย่างต่อเนื่อง